เรียนภาษาอังกฤษที่ฟิลิปปินส์ ตอน Review / รีวิว : บทสัมภาษณ์ Work and Study - Fai [สถาบัน CIP เมือง Clark]
สวัสดีค่ะ เราเป็นนิสิตปีสาม คณะภาษา ณ
มหาวิทยาลัยรัฐแห่งหนึ่งนะคะ
พอดีเรามีโอกาสได้มาฝึกงานเป็นพนักงานดูแลนักเรียนหรือStudent
staff ในสถาบันสอนภาษาอังกฤษ ณ ประเทศฟิลิปปินส์ เป็นเวลา3เดือน ที่แซ่บคือสมัครเอง ดำเนินเรื่องเอง ไม่ได้ผ่านทางมหาวิทยาลัย
แล้วบินเดี่ยวมาฝึกงานเองค่ะ ตอนนี้ฝึกงานมาได้1เดือนแล้ว
อยากจะมารีวิวชีวิตที่นี่ เผื่อใครสนใจค่ะ
ตำแหน่ง: Student staff
รายละเอียดงานคร่าวๆ : หน้าที่หลักคือดูแลนักเรียน โดยเฉพาะนักเรียนไทย และแปลเอกสารของทางสถาบัน ดูแลกิจธุระของสถาบัน
สวัสดิการ :
กระทู้นี้อาจมีเนื้อหายาวหน่อยนะคะ
แต่จะพยายามเล่าเป็นลำดับๆไป ยังไงก็ขอแปะโครงร่างคร่าวๆก่อนเลยละกันค่ะ
1. จุดเริ่มต้นและรายละเอียดโครงการ
- 1.1 รู้จักโครงการนี้ได้ไง
- 1.2 ลักษณะงาน
- ตำแหน่ง
- รายละเอียดงานคร่าวๆ
- สวัสดิการ
- 1.3 ทักษะที่ต้องการ
3. ชีวิตในสถาบัน
- 3.1 รู้จักสถาบัน
- ข้อดี
- ข้อเสีย
- กฏ
- 3.2 ตารางชีวิตนร.
- 3.3 ตารางชีวิตสต๊าฟ
- 3.4 สิ่งที่ได้จากการฝึกงานที่นี่
- 3.5 เรื่องราวที่อยากจะเล่า
มาเริ่มกันเลยนะคะ
1. จุดเริ่มต้นและรายละเอียดโครงการ- 1.1 รู้จักโครงการนี้ได้ไง
เริ่มจากจุดเริ่มต้นก่อนเลยค่ะ ว่ารู้จักที่นี่ได้ยังไง
คือจริงๆแล้วเราเคยมาเรียนภาษาอังกฤษที่ประเทศฟิลิปินส์เมื่อปีที่แล้วค่ะ
พอดีเพื่อนในคณะชวน แต่เรียนที่อีกสถาบันหนึ่งเป็นเวลาหนึ่งเดือน ผ่านเอเจนซี่Engcluesค่ะ
(ขอบอกชื่อเพราะน่าจะมีเอเจนซี่เดียวที่ติดต่อเรื่องเรียนภาษาอังกฤษในฟิลิปปินส์)
แล้วพี่ที่เอเจนซี่ก็ดีมาก ถามปุ๊บตอบปั๊บ ไม่ทิ้งเด็ก มาเรียนก็คอยถามไถ่เรื่อยๆ
และที่สำคัญ ราคาไม่แพงค่ะ
ถ้าเทียบกับเรียนที่ประเทศอื่นในช่วงเวลาเดียวกันเราว่าที่ฟิลิปปินส์ถูกสุดละ
เราก็เลยเช็คเว็บไซต์ของเอเจนซี่นี้อยู่เรื่อยๆเพราะมักจะมีโปรโมชั่นลดราคาค่ะ
เราก็เลยเห็นว่าเขามีโครงการไปฝึกงานที่ฟิลิปปินส์3เดือน
ฝึกในสถาบันสอนภาษาอังกฤษ ได้ใช้ภาษาอังกฤษตลอดเวลา เพื่อนร่วมงานก็มีหลายชาติ
แถมได้เรียนวันละ3คาบ แล้วก็ได้เงินเดือนด้วย ที่สำคัญที่สุด
ทางสถาบันจะออกค่าใช้จ่ายให้ เราว่าน่าจะประมาณ 80% เลยค่ะ
เราออกเองน้อยมากกกกก คือรวมทุกอย่างไม่เกิน5หมื่นอ่ะค่ะ(จากในรายละเอียดในเว็บไม่รวมพ็อกเก็ตมันนี่นะคะ
อย่าลืมว่าเดี๋ยวเราได้เงินเดือนอีกด้วยค่ะ) เราเห็นแล้วตาลุกวาวววววว
คือพึ่งจบปีสามกำลังหาที่ฝึกงานอยู่พอดี ถามแม่แม่ก็อนุมัติ
ก็เลยโทรไปสอบถามรายละเอียดค่ะ
- 1.2 ลักษณะงาน
ตำแหน่ง: Student staff
รายละเอียดงานคร่าวๆ : หน้าที่หลักคือดูแลนักเรียน โดยเฉพาะนักเรียนไทย และแปลเอกสารของทางสถาบัน ดูแลกิจธุระของสถาบัน
สวัสดิการ :
- ค่าใช้จ่าย ทางโครงการจะออกค่าใช้จ่ายให้ประมาณ80% รวมค่ากินค่าอยู่ ค่าน้ำค่าไฟ ค่าวีซ่า ค่าบัตรนักเรียน (อันนี้แล้วแต่แต่ละสถาบันด้วยค่ะ) เราออกค่าเครื่องบิน ค่าดำเนินเรื่องของทางเอเจนซี่ ค่าหนังสือเรียน แล้วก็ค่าใช้จ่ายส่วนตัว อันนี้คอนเฟิร์มตัวเลขไม่ได้ค่ะ แล้วแต่แต่ละสถาบันจะเสนอเงื่อนไข แต่ทางสถาบันเราเราจ่ายทั้งหมดไม่เกิน5หมื่นค่ะ 3เดือนเลยนะคะ อาหาร3มื้อ ห้องก็มีแอร์ มีตู้เย็น เครื่องทำน้ำอุ่น ทีวี พร้อมหมด (อยู่กับรูมเมทอีกหนึ่งคนค่ะเขาจะจัดให้เอง)
- เรียนภาษาอังกฤษฟรี3คาบต่อวัน ยกเว้นเสาร์ อาทิตย์และวันหยุดของฟิลิปปินส์
- มีเงินเดือนให้ ตามภาระงานที่ทำลุล่วง
- ในวันเดินทางจะมีรถไปรับจากสนามบินมายังสถาบัน
- ทำงานร่วมกับหลายเชื้อชาติ ทั้งคนเกาหลี (ผู้จัดการ) ไต้หวัน ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ อาจมีชาติอื่นๆอีกตามโอกาส ถือเป็นโอกาสที่เราจะได้ใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารตลอดเวลา
- 1.3 ทักษะที่ต้องการ
- อดทน ต้องอดทนและถึก เพราะอยู่ต่างบ้านต่างเมือง
และมาทำงานแน่นอนว่าต้องไม่มีใครมาคอยโอ๋แล้ว
- เข้ากับคนง่าย ยิ้มง่าย let it goได้ง่าย
และเข้าใจความแตกต่างทางวัฒนธรรมได้
2. การสมัครและการสอบสัมภาษณ์
ขั้นตอนการสมัครไม่มีอะไรยุ่งยากค่ะ
เราก็โทรไปหาเอเจนซี่ว่าสนใจ เขาจะให้เราส่งCVไป
ถ้าเขาพิจารณาแล้วผ่านเขาจะเรียกไปสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษ
เขาก็จะดูทัศนคติแล้วก็เช็คว่าเราพอจะสื่อสารได้ไหม
ถ้าผ่านขั้นนี้บางสถาบันเราต้องสัมภาษณ์กับผู้จัดการด้วย
อย่างของเราก็ต้องคุยกับผู้จัดการผ่านสไกป์ค่ะ
ผู้จัดการเป็นคนเกาหลีก็คุยเป็นภาษาอังกฤษค่ะ ผู้จัดการเราค่อนข้างใจดี คุยได้
ก็ถามคำถามธรรมดาๆเฮฮา ไม่มีอะไรซีเรียส ถ้าผ่านขั้นนี้ก็ดำเนินเรื่องเอกสารค่ะ
ไม่ยุ่งยากเลยเพราะทางเอเจนซี่จะจัดการให้เอง
3. ชีวิตในสถาบัน
มาถึงส่วนสำคัญแล้วค่ะ 555 ในส่วนนี้เราจะแนะนำรายละเอียดสถาบันและการใช้ชีวิตที่นี่นะคะ เผื่อใครสนใจมองหาที่ฝึกงานหรือที่เรียนภาษาอังกฤษ อาจจะได้ทางเลือกเพิ่มอีกทางเลือกหนึ่งก็ได้ค่ะ
มาถึงส่วนสำคัญแล้วค่ะ 555 ในส่วนนี้เราจะแนะนำรายละเอียดสถาบันและการใช้ชีวิตที่นี่นะคะ เผื่อใครสนใจมองหาที่ฝึกงานหรือที่เรียนภาษาอังกฤษ อาจจะได้ทางเลือกเพิ่มอีกทางเลือกหนึ่งก็ได้ค่ะ
- 3.1 รู้จักสถาบัน
สถาบันที่เราทำงานอยู่ชื่อ CIPค่ะ ย่อมาจาก Clark Institute of the Philippines ตั้งอยู่ที่เมืองAngeles
ประเทศฟิลิปปินส์ค่ะ อากาศร้อนพอๆกับไทยเลยค่ะ 555 แวดล้อมก็คล้ายๆไทย คือเป็นชนบทผสมเมืองค่ะ ไม่เจริญเท่ามะนิลา
แต่ก็มีห้างสรรพสินค้า มีผับบาร์ ครบค่ะ คือที่ประเทศฟิลิปปินส์มันไม่ได้แยกชนบทกับเมืองชัดเจน
แบบข้างทางด่วนเป็นทุ่งหญ้าที่มีวัวน่ะค่ะ 555 เมืองที่เราอยู่เป็นเมืองเล็กๆ
คนก็ไม่ได้ร่ำรวยนัก ไม่เจริญเท่ากรุงเทพแต่ก็มีห้างมีร้านรวงครบครันค่ะ
ส่วนใหญ่นักเรียนจะนิยมไปเที่ยวต่างจังหวัดที่อยู่ใกล้ๆมากกว่า
มาโฟกัสที่สถาบันเลยนะคะ ภายในสถาบันประกอบด้วยป้อมยาม
ซึ่งจะอยู่หน้าประตู
ใครจะเข้าออกต้องฝากบัตรและเซ็นชื่อกับเวลาเข้าออกทุกครั้งเพื่อความปลอดภัยค่ะ
โดยคนนอกไม่สามารถเข้ามาได้ถ้าไม่ได้รับอนุญาต ถัดมาเป็นลานจอดรถ ซึ่งก็มักจะมีShuttle
Bus คันใหญ่มากกก จอดอยู่ ไว้รับส่งนักเรียนไปสถานที่ต่างๆค่ะ
คือที่นี่มีบริการรถบัสรับส่งฟรีด้วย แต่ก็มีตารางเวลาออกนะคะ เช่น
วันจันทร์ไปห้างนี้ วันพฤหัสไปห้างนี้ ก็สะดวกไปอีกแบบค่ะ ถัดมาเป็นตึกสำนักงาน
เราทำงานในตึกนี้ค่ะ นั่งโต๊ะตรงข้ามกับผู้จัดการเลยค่ะ 555 ข้างๆตึกเป็นโรงอาหาร
มีอาหาร3มื้อ วันเสาร์อาทิตย์มีบุฟเฟ่ต์
อาหารส่วนใหญ่เป็นสไตล์เกาหลีค่ะ มีญี่ปุ่นโผล่มาบ้าง รสชาติก็อร่อยดีค่ะ
แต่อาหารจะเป็นทอดส่วนใหญ่ เราจัดเต็มทุกมื้อ น้ำหนักขึ้นเลยค่ะ 555 หลังตึกสำนักงานจะมีสแน็กบาร์ ขายขนมและเครื่องดื่ม
ข้างๆสแน็กบาร์เป็นอาคารเรียนสองอาคารค่ะ จะแบ่งโซนกันระหว่างคอร์สธรรมดา
กับคอร์สไอเอล โทเฟล โทอิค พวกคอร์สไอเอลบรรยากาศจะเป๊ะนิดนึง
เรียนกันหนักเชียวค่ะ ฝั่งคอร์สธรรมดาจะออกแนวเฮฮามากกว่าอาจารย์ที่นี่มีทั้งnative
teachers และชาวฟิลิปปินส์ค่ะ อาจารย์ที่นี่ค่อนข้างเฟรนด์ลี่
คือเจอกันถึงไม่เคยเรียนด้วยก็จะเซย์ไฮทักทายกันตลอด
แล้วอาจารย์จะถูกเทรนด์มาแล้วค่ะ คือไม่ใช่แค่สอนๆๆแล้วจบ
แต่จะถามไถ่สารทุกข์สุขดิบก่อนเสมอ และมักจะออกไปเที่ยวกับนักเรียนบ่อยๆค่ะ
นักเรียนที่นี่จะค่อนข้างสนิทกับอาจารย์ อยู่กันเหมือนเพื่อนมากกว่า 555 หลังอาคารเรียนเป็นพื้นที่สูบบุหรี่ค่ะ
คนที่นี่ทั้งครูทั้งนักเรียนสูบบุหรี่จัดมากค่ะ
นักเรียนที่นี่ส่วนใหญ่เป็นชาวเกาหลี ไต้หวัน จีน ญี่ปุ่น สูบบุหรี่กัน95%เลยค่ะ สูบกันตั้งแต่ยังไม่20เลย
แต่เขาก็จะสูบกันแต่บริเวณที่จัดไว้อ่ะค่ะ ก็ไม่ได้รบกวนอะไร
ข้างๆที่สูบบุหรี่มีโรงยิม เลิกเรียนเด็กก็มักจะมาเล่นกีฬากัน
เราตีแบดแทบทุกเย็นเลยค่ะ แอ๊วหนุ่ม 555 คืออยากมาเล่นก็มานั่งแบ๊วๆแถวโรงยิม
เดี๋ยวก็จะมีคนชวนเองแหละค่ะ บางทีไม้แบดไม่พอเราก็นั่งทำหน้าเป็นหมาหงอย
เขาก็เปลี่ยนให้เราเล่นเองค่ะ ฮี่ๆๆ ข้างหลังพื้นที่สูบบุหรี่จะมีหอพักสามอาคารด้วยกัน
ถัดไปก็มีสระว่ายน้ำแล้วก็ห้องซักรีดค่ะ สระว่ายน้ำที่นี้น้ำสีฟ้าน่าเล่นมากกก
แต่เราว่ายน้ำไม่เป็น 555 แล้วก็มีstudy hall สำหรับนักเรียนที่ไม่อยากอ่านหนังสือทำการบ้านในห้อง
แต่หลายคนที่ไปเพราะว่าประหยัดแอร์ในห้องอ่ะค่ะ 555
อาคารสำนักงานค่ะ
โรงยิมค่ะ
พื้นที่สูบบุหรี่
ที่นั้งข้างๆที่สูบบุหรี่ค่ะ
บริเวณอาคารหอพักค่ะ อันนี้ถ่ายมาแค่อาคารเดียว
บริเวณสระว่ายน้ำค่ะ
อันนี้แถม อาหารมื้อแรกที่เราทานที่นี่ค่ะ
ปล. รูปพวกนี้เราถ่ายตอนเช้าวันที่สองที่เรามาถึงค่ะ
น่าจะสักุโมงเช้าได้มั้งคะเลยยังไม่มีคน ถ่ายด้วยกล้องมือถือเราเองค่ะ
เราถ่ายภาพไม่ค่อยสวยต้องขออภัยด้วยค่ะ
- ข้อดี
- Native Teachers เท่าที่ทราบโรงเรียนนี้น่าจะเป็นสถาบันสอนภาษาอังกฤษเดียวที่มีครูต่างชาติค่ะ (ในหมู่สถาบันที่ที่เอเจนซี่ที่เราสมัครมีเครือข่ายน่ะค่ะ) แล้วครูที่นี่คือเป็นกันเองมาก ทำให้เด็กไม่เกร็ง เหมือนถูกเทรนมาให้ดูแลนักเรียนด้วยไม่ใช่แค่สอนน่ะค่ะ อ้อ แล้วที่นี่มีระบบครูบัดดี้ด้วยนะคะ เขาจะคอยให้คำแนะนำปรึกษา เราเป็นสต๊าฟเรียนสามชั่วโมงต่อวันก็ยังมีครูบัดดี้เลยค่ะ
- นักเรียนหลายเชื้อชาติ เท่าที่เจอมาก็มีเกาหลี ไต้หวัน จีน ญี่ปุ่น เวียดนาม แล้วก็ไทยค่ะ มีโคลัมเบียด้วยค่ะ แต่มีอยู่แค่คนเดียว เท่าที่คุยกับพี่สต๊าฟคนอื่นเห็นเคยมีสเปนมาด้วย แต่นานน๊านนนจะมาที555 นักเรียนที่นี่มีทุกช่วงวัยค่ะ ตั้งแต่9ขวบยัน 60 ทั้งนักเรียนทั้งคนทำงาน แล้วคนที่นี่จะค่อนข้างเฟรนด์ลี่ค่ะ คือถึงไม่เคยคุยกันส่วนใหญ่เดินสวนกันก็จะยิ้มให้หรือเซย์ไฮ บางคนเขาตั้งใจฝึกจริงๆเขาก็จะพยายามนั่งกับนักเรียนชาติอื่นเวลากินข้าวค่ะ ที่นี่ถือเป็นเรื่องปกติถ้าเวลากินข้าวเราไปขอนั่งจอยด้วย แต่เราเป็นพวกโลกส่วนตัวสูงชอบนั่งคนเดียว แต่ก็จะมีพี่สต๊าฟหรือเพื่อนคนอื่นๆมานั่งด้วยบ่อยๆก็ไม่เหงาดีค่ะ
- ตารางเรียน เรียนกันจัดเต็มมากค่ะ นักเรียนจะเรียนกัน9คาบต่อวัน คาบละ45นาที พักเบรก5นาที ส่วนใหญ่จะเรียนตัวต่อตัวค่ะ แล้วก็มีgroup class คลาสละไม่เกิน6คน แล้วสามารถเปลี่ยนคลาสเปลี่ยนครูได้ทุกอาทิตย์ค่ะ เขาถือว่านักเรียนเสียเงินมาแล้ว เอาให้สบายใจที่สุดเลย เต็มที่ 555 แล้วที่นี่มีคอร์สเรียนหลายคอร์สมาก มี คอร์สIntensive คอร์สIELTS คอร์ส TOEIC คอร์ส TOEFL คอร์สBusiness และคอร์สสำหรับ Young Leaners ค่ะ คอร์สที่จะเต็มตลอดคือ IELTS, TOEICแล้วก็TOEFLค่ะ พวกที่เรียนคอร์สนี้จะเครียดนึดหนึ่งเพราะหนักมาก แต่ก็จะพัฒนาได้เร็วกว่าคอร์สอื่น เราอยากเรียนมากค่ะ แต่เต็ม T^T แถมเขาให้เรียนฟรีด้วย ไม่กล้าขออะไรมาก 555 เด็กที่นี่จะสื่อสารได้ในระดับหนึ่งแล้ว ก็ค่อนข้างสบายค่ะ คุยกันง่าย หลายคนจบแล้วก็กลับมาเรียนต่อค่ะ มีนักเรียนคนหนึ่ง ตอนแรกก็เป็นนักเรียน แล้วเปลี่ยนเป็นสต๊าฟ หมดช่วงสต๊าฟก็มาเป็นนักเรียนต่อ รวมแล้วคือ11เดือนเลยค่ะ เราฟังแล้วแบบ เห้ยยยยยย ย้ายมาอยู่นี่เลยมั้ย 555
- ความปลอดภัย ถึงหลายคนจะได้ยินว่าฟิลิปปินส์อันตราย แต่ในสถาบันนี้ค่อนข้างปลอดภัยมากค่ะ ทำไมเราถึงคิดงั้นเหรอคะ เพราะเราเป็นสต๊าฟ ซึ่งสต๊าฟต้องมีเวรเดินตรวจกันทุกวันค่ะ แล้วก็มีสต๊าฟคนฟิลิปปินส์คนหนึ่งที่ทางสถาบันพึ่งจ้างมาเดินตรวจโดยเฉพาะ ต้องเดินตรวจทุกชั่วโมงเลยค่ะ เช้า กลางวัน เย็น หลังเที่ยงคืน สต๊าฟก็อยู่หอเดียวกับนักเรียนด้วยค่ะ มีอะไรเคาะห้องได้ตลอด
- มีกิจกรรม ทุกวันอาทิตย์ที่สองของเดือนจะมีกิจกรรมไปพบคนฟิลิปปินส์ดั้งเดิมหรือที่เรียกว่าAETAค่ะ คือลักษณะจะคล้ายคนผิวสี อยู่ในชนบทและความเจริญยังไม่ค่อยเข้าถึงค่ะ ทางโรงเรียนก็มีรถพานักเรียนไปแจกของและทำกิจกรรมค่ะ วันอาทิตย์ที่สี่มีกิจกรรมไปบ้านเด็กกำพร้า และทุกเย็นวันอังคารมีกิจกรรมเต้นซุมบ้า โดยครูบัดดี้ของเราเป็นคนสอนเต้นเองค่ะ 555
- มีชั้นเรียนเสริมค่ะ เข้าเรียนได้ฟรี เช้า กลางวัน เย็น
บางคนขยันก็เข้าทั้งเช้า กลางวัน เย็นเลยค่ะ แล้วก็มีวันอาทิตย์ด้วย ส่วนเราเหรอคะ
เคยเข้าแค่ครั้งเดียวค่ะ แล้วก็ไม่ได้แหยมหน้าเข้าไปอีกเลย 555
- ไม่ค่อยมีที่เที่ยวค่ะ คือมันกึ่งๆชนบท ก็มีห้างสรรพสินค้า2-3แห่งค่ะ ห้างก็ใหญ่โตอลังการอยู่ แต่ก็มีเท่านั้นแหละค่ะ 555 เพราะฉะนั้นนักเรียนส่วนใหญ่จึงนิยมจัดทริปรวมกลุ่มเที่ยวต่างจังหวัดกันค่ะ แต่เราว่ามันก็ดีนะ จะได้ไม่เปลืองเงินเที่ยวบ่อย แล้วไปเที่ยวทีคือจัดเต็มเลย ไปต่างจังหวัด ไปดำน้ำ โต้คลื่นไรงี้ และคนที่อยากโฟกัสเรื่องการเรียนจริงๆเลยก็จะได้โฟกัสได้เต็มที่เลยค่ะ
- กฏ
กฎที่นี่ค่อนข้างเยอะค่ะ
แต่ก็เพื่อความปลอดภัยของนักเรียน และจะทำอะไรต้องทำตามระบบค่ะ จะไปค้างคืน
จะเปลี่ยนชั้นเรียน เปลี่ยนอาจารย์ก็จะมีขั้นมีตอนค่ะ ที่นี่มีCurfew
time ด้วย คือถ้าวันถัดไปไม่มีเรียนจะกลับได้ไม่เกินห้าทุ่ม
ถ้าวันถัดไปมีเรียนกลับได้ไม่เกินเที่ยงคืนไรงี้ เอาเป็นว่าชีทปฐมนิเทศมี12หน้าภาษาอังกฤษอ่ะค่ะ แล้วเราเอามาแปลเป็นภาษาไทยได้15หน้า 555 มันก็ดีค่ะ
สต๊าฟก็ทำงานง่ายเพราะทุกอย่างมีบอกไว้ในชีทเป๊ะๆเลยว่าถ้าจะทำอะไรมันต้องมีขั้นมีตอนยังไงบ้าง
- 3.2 ตารางชีวิตนร.
- 3.3 ตารางชีวิตสต๊าฟ
- 3.4 สิ่งที่ได้จากการฝึกงานที่นี่
- ภาษา เราว่าภาษาเราพัฒนาขึ้นนะคะโดยเฉพาะการพูด
เพราะพูดภาษาอังกฤษทั้งวันค่ะ แถมได้เรียนวันละสามคาบด้วย แล้วยังต้องแปลเอกสารด้วย
ก็ได้ฝึกหลายทักษะค่ะ
- ความอดทน อันนี้ได้เยอะมากกกกกกกค่ะ
ทำงานมันก็ต้องมีสิ่งที่ไม่ชอบใจบ้าง บางครั้งก็นักเรียน บางครั้งก็เพื่อนร่วมงาน
แต่ด้วยสถานะเราตอนนี้มันไม่สามารถยอมแพ้แล้วแพ็คกระเป๋ากลับบ้านได้
มันก็ต้องอดทนและพยายามแก้ปัญหาหรืออยู่กับปัญหาจนมันผ่านไป
ตอนนี้ปัญหาอะไรก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่แล้วค่ะ อย่างวันแรกที่เรามาแอร์เสีย
เรานี่ร้องไห้เลยค่ะ 555 ตอนนั้นพึ่งมาถึง มาตัวคนเดียว
กลัวก็กลัว คิดถึงบ้าน อากาศร้อน นอนร้องไห้เลย ถถถ ตอนนี้แอร์เสียเหรอ
ปีนขึ้นโต๊ะไปดึงปลั๊กอร์ออกแล้วเสียบใหม่ กดชักโครกไม่ลงเหรอ
ไม่เป็นไรพรุ่งนี้ตามช่าง วันนี้ไปใช้ห้องเพื่อน แมลงเข้าห้องแล้วเมทกลัว
เราเอามือตะปป แล้วเอาไปปล่อย 555 เรียกได้ว่า สวย ถึก
และบิกบึนค่ะ 555
- ความเป็นผู้ใหญ่ คือมาคนเดียว มาในสถานะคนทำงาน
ด้วยหน้าที่ต้องดูแลคนอื่น มันเลยทำให้เรานิ่งขึ้น ใจเย็นขึ้น
และคิดก่อนทำก่อนพูดมากขึ้นค่ะ
เวลามีปัญหามันไม่ใช่ไปตั้งสเตตัสด่าที่ทำงานในเฟสบุ๊คแล้วให้คนกดไลค์
(ซึ่งจะมีปัญหากับทางสถาบันได้)หรือไปฟ้องคนนู้นคนนี้ให้มาจัดการ
ด้วยสถานะมันทำให้เราต้องเคลียร์ปัญหาเอง และต้องเคลียร์ปัญหาให้คนอื่นด้วย
และได้เห็นอะไรหลายๆอย่าง
คนต่างชาติที่เราเคยกลัวที่จะสื่อสารด้วยจริงๆเขาก็มีความกลัวเหมือนกันนะ
ยิ่งคนมาใหม่มักจะอาย ไม่กล้าพูด บางคนก็ยังทำอะไรไม่ถูก ไม่กล้าไปนู่นนี่คนเดียว
เราก็ต้องคอยดูแลคอยแนะนำ
ก็ถือว่าการฝึกงานครั้งนี้และชีวิตที่นี่ดึงความเป็นผู้ใหย่ของเราออกมาได้เยอะเลยค่ะ
- 3.5 เรื่องราวที่อยากจะเล่า
- เล่นกีฬากับเพื่อนต่างชาติ
เนื่องจากเราน้ำหนักขึ้นทุกวันๆเลยต้องพยายามหาทางออกกำลังกายค่ะ 555 เราก็ไปตีแบด แต่ไม้แบดมีจำกัด ปรากฏว่าพอไปโรงยิม
เพื่อนชาติอื่นที่เขาเล่นอยู่พอเขาเห็นว่าเขาเล่นได้สักพักแล้วมีคนมารอ
เขาก็จะเปลี่ยนให้คนอื่นได้เล่นบ้างค่ะ ไม่มีใครครองไม้คนเดียว
แล้วตอนแรกเรานัดตีแบดกับแค่นักเรียนไทย เอาเข้าจริงตีกับทุกชาติเลยค่ะ 555เพราะแต่ละคนก็หมุนเวียนสลับกันมา แล้วไม่มีการข่มกันหรือเหยียดกัน
ตีดีไม่ดีก็ยิ้มเฮฮาไว้ก่อนบางคนนี่ไม่เคยคุยกันเลย ก็ได้มาหัวเราะด้วยกันในสนามแบดมินตันค่ะ
- อันนี้ไม่ประทับใจ ออกแนวน่ากลัวค่ะ
คือเราเคยไปห้างกับเพื่อน แต่แยกกันเดิน แล้วเราเดินอยู่คนเดียว
ก็มีผู้ชายคนผิวสีรูปร่างท้วมมีอายุคนหนึ่งมาเดินชนหลังเราตอนเราเลือกเสื้อผ้าอยู่
เขาก็ทำเป็นขอโทษแล้วก็ยิ้มให้เราตาเยิ้มเชียวค่ะ
เขาพยายามจะขยับเข้ามาใกล้มาพูดอะไรสักอย่างแต่เราว่าดูcreepyเลยเดินหนีค่ะ
แล้วเขาก็เดินตามเราในร้านพักหนึ่งแล้วก็ไปดักอยู่หน้าประตูร้านซึ่งมีประตูเดียว
ตอนนั้นเรากลัวมากเลยตัดสินใจเดินออกจากร้านซึ่งต้องผ่านเขา
แล้วเขาก็เข้ามาประกบแล้วโชว์สร้อยทองที่ใส่อยู่พร้อมกับเสนอเงินให้เราไปกับเขาค่ะ
ตอนนั้นเราตกใจมาก นึกคำตอบโต้ไม่ทัน ได้แต่ส่ายหัวแล้วเดินหนีไปค่ะ
ตอนนั้นกลัวมากจริงๆเพราะห้างใหญ่มาก หาเพื่อนไม่เจอ
เพื่อนไม่มีซิมโทรศัพท์ของฟิลิปปินส์ด้วย แต่เขาไม่ได้เดินตามมาก็เลยรอดไปค่ะ
แต่เอาจริงๆมาอยู่นี่โดนแอ๊วบ่อยนะคะ แต่ไม่เคยโดนแบบน่ากลัวเท่านี้
สงสัยคนที่จะตาถึงค่ะ 555
จบแล้วค่ะ
ปกติอ่านอย่างเดียววันนี้ขอมาแชร์ประสบการณ์บ้าง
เผื่อใครสนใจหาที่ฝึกงานหรือหาที่เรียนอยู่อาจจะสนใจอยากทราบอะไรเพิ่มเติมก็หลังไมค์มาได้นะคะ
เราเล่าตามประสบการณ์ที่เราเจออยู่ ก็อาจจะตรงหรือไม่ตรงกับคนที่เคยเรียนที่นี่บ้าง
ตอนนี้เราทำงานครบหนึ่งเดือนแล้ว เหลืออีกสองเดือน
ช่วยอวยพรให้เราอยู่รอดปลอดภัยด้วยนะคะ555 ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านค่ะ
Comments
Post a Comment